สงครามเวียดนาม

Released prisoner of war Lt. Col. Robert L. Stirm is greeted by his family at Travis Air Force Base in Fairfield, Calif., as he returns home from the Vietnam War, March 17, 1973. Leading is Stirm's daughter Lori, 15, followed by son Robert, 14; daughter Cynthia, 11; wife Loretta and son Roger, 12. Stirm was held more than five years after his plane was shot down over North Vietnam in 1968. (AP Photo/Sal Veder)[๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๐]  โตมาจนป่านนี้ ฉันเพิ่งรู้สึกไม่นานนี่เองว่า ตัวเองเรียนประวัติศาสตร์ด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสมมาโดยตลอด คือใช้วิธีการท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง พอได้อ่าน ได้เห็นอะไรมากขึ้น แล้วทำให้รู้แจ้งว่าการเรียนประวัติศาสตร์ จะเรียนแบบมิติเดียว คือการอ่านจากตัวหนังสือไม่ได้ แต่ต้องนำองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในระยะเวลานั้นเอามาประกอบการพิจารณาด้วย จึงจะสนุก อีก 20 -30 ปีข้างหน้า หลาย ๆ คนอาจจะมองย้อนกลับมา แล้วไม่เข้าใจว่า ทำไมคนอเมริกันถึงตัดสินใจเลือกโดนัลด์ ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ถ้าไม่ได้ศึกษาถึงบรรยากาศ สภาพแวดล้อม และความคิดของคนอเมริกันในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นต้น

ปูพื้นมาเสียยาว แค่อยากจะเล่าว่า เพิ่งมีโอกาสได้ชมสารคดี 10 ตอน เรื่อง The Vietnam War ของ Ken Burns และ Lynn Novick ที่ออกฉายทางช่อง PBS ท้าวความตั้งแต่สมัยเวียดนามยังอยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศส (ปี 1858) จนมาถึงช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้าไปเกี่ยวพัน ตั้งแต่ ประธานาธิดีไอเซนฮาวร์ เคนเนดี้ จอห์นสัน นิกสัน และจบลงในสมัยประธานาธิบดีฟอร์ด ในปี 1973 รวมประธานาธิบดี 5 คน มีทั้งที่มาจากพรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต ดูจนจบแล้วรู้สึกอับอายว่า เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านมากขนาดนี้เชียวหรือ

ฉันสงสัยมานาน ว่าทำไมคนอเมริกันถึงยอมเดินทางไปไกลถึงอีกซีกโลกหนึ่งเพียงเพื่อจะต่อสู้รักษาอุดมการณ์ สารคดีเรื่องนี้ให้คำตอบว่า ช่วงต้น ๆ ของสงครามเวียดนาม เป็นช่วงที่คนอเมริกันยังรู้สึกภาคภูมิใจจากชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง เด็กหนุ่มรุ่นนั้นเห็นพ่อของตน ลุงของตน ครูของตนกลับจากการรบในสงครามโลกอย่างมีเกียรติล้นเหลือ ก็คิดอยากไปจะไปรับใช้ชาติในลักษณะเดียวกัน

อีกคำถามที่สงสัยมานานคือ ทำไมคนอเมริกันถึงได้เชื่่อมั่นในการตัดสินใจของรัฐบาลของตนมากและนานขนาดนี้ สงครามเวียดนามยืดเยื้อนานถึงเป็นสิบ ๆ ปี คนอเมริกันต้องสูญเสียชีวิตไปกว่าครึ่งแสน และถึงจะมีการเดินขบวนต่อต้านการทำสงครามครั้งนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่สนับสนุนการส่งทหารไปเวียดนาม ประเทศชาติมีความคิดแตกแยก ขนาดที่ว่าฉันคิดว่าตอนนี้สหรัฐก็แตกแยกแนวความคิดออกเป็นสองฝ่ายมากแล้ว แต่ยังไม่รุนแรงมากเท่าสมัยสงครามเวียดนาม

คำตอบที่ได้คือ สมัยนั้นคนอเมริกันมีศรัทธาในผู้นำ ในรัฐบาลอย่างแรงกล้า ถ้ารัฐบาลบอกว่าดี ก็ว่าตามกัน แต่หลังจากที่มีการเปิดโปงการกระทำต่าง ๆ นานาของรัฐบาลเพียงเพื่อจะให้ชนะการเลือกตั้ง รวมไปถึงการตีพิมพ์เอกสารลับ Pentagon Papers (ซึ่งกำลังเป็นภาพยนตร์ดังในขณะที่เขียนบล๊อกนี้) ในปี 1971 โดยเอกสารลับนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลอเมริกันตั้งแต่ไหนแต่ไร ยอมรับว่าไม่มีทางที่จะชนะสงครามครั้งนี้ได้เลย (หากไม่มีประธานาธิบดีคนไหนที่อยากประกาศยอมแพ้) แต่ก็ยังให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ส่งผู้คนไปเสียสละชีวิตสู้รบในสงครามเป็นเวลานับสิบปี

ตั้งแต่ต้นปี 1970 ศรัทธาของคนอเมริกันที่มีต่อรัฐบาลก็สั่นคลอนอย่างเห็นได้ชัด หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ มีบทบาทมากขึ้นในการขุดคุ้ยและเปิดโปงการกระทำที่ไม่ถูกต้องของรัฐบาล และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมประธานาธิบดีคนปัจจุบันถึงได้มีอาการต่อต้านสื่อมากขนาดนั้น

ฉันสังเกตว่าผู้นำทางสังคมมักสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน เพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองให้อยู่หมัด กลัวลัทธิคอมมิวนิสต์จะครองโลก กลัวว่าจะไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเสมอภาพและเป็นธรรม กลัวว่าเงินช่วยเหลือจากรัฐจะถูกตัดไป เราต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษในการรับมือความกลัวเหล่านี้ อย่างไรก็ดีขอปิดท้ายด้วยคำสอนของแม่ ที่บอกประมาณว่า มีศีลให้มากเข้าไว้ แล้วจะกล้าหาญเอง

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.