[๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๐] โตมาจนป่านนี้ ฉันเพิ่งรู้สึกไม่นานนี่เองว่า ตัวเองเรียนประวัติศาสตร์ด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสมมาโดยตลอด คือใช้วิธีการท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง พอได้อ่าน ได้เห็นอะไรมากขึ้น แล้วทำให้รู้แจ้งว่าการเรียนประวัติศาสตร์ จะเรียนแบบมิติเดียว คือการอ่านจากตัวหนังสือไม่ได้ แต่ต้องนำองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในระยะเวลานั้นเอามาประกอบการพิจารณาด้วย จึงจะสนุก อีก 20 -30 ปีข้างหน้า หลาย ๆ คนอาจจะมองย้อนกลับมา แล้วไม่เข้าใจว่า ทำไมคนอเมริกันถึงตัดสินใจเลือกโดนัลด์ ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ถ้าไม่ได้ศึกษาถึงบรรยากาศ สภาพแวดล้อม และความคิดของคนอเมริกันในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นต้น
ปูพื้นมาเสียยาว แค่อยากจะเล่าว่า เพิ่งมีโอกาสได้ชมสารคดี 10 ตอน เรื่อง The Vietnam War ของ Ken Burns และ Lynn Novick ที่ออกฉายทางช่อง PBS ท้าวความตั้งแต่สมัยเวียดนามยังอยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศส (ปี 1858) จนมาถึงช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้าไปเกี่ยวพัน ตั้งแต่ ประธานาธิดีไอเซนฮาวร์ เคนเนดี้ จอห์นสัน นิกสัน และจบลงในสมัยประธานาธิบดีฟอร์ด ในปี 1973 รวมประธานาธิบดี 5 คน มีทั้งที่มาจากพรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต ดูจนจบแล้วรู้สึกอับอายว่า เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านมากขนาดนี้เชียวหรือ
ฉันสงสัยมานาน ว่าทำไมคนอเมริกันถึงยอมเดินทางไปไกลถึงอีกซีกโลกหนึ่งเพียงเพื่อจะต่อสู้รักษาอุดมการณ์ สารคดีเรื่องนี้ให้คำตอบว่า ช่วงต้น ๆ ของสงครามเวียดนาม เป็นช่วงที่คนอเมริกันยังรู้สึกภาคภูมิใจจากชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง เด็กหนุ่มรุ่นนั้นเห็นพ่อของตน ลุงของตน ครูของตนกลับจากการรบในสงครามโลกอย่างมีเกียรติล้นเหลือ ก็คิดอยากไปจะไปรับใช้ชาติในลักษณะเดียวกัน
อีกคำถามที่สงสัยมานานคือ ทำไมคนอเมริกันถึงได้เชื่่อมั่นในการตัดสินใจของรัฐบาลของตนมากและนานขนาดนี้ สงครามเวียดนามยืดเยื้อนานถึงเป็นสิบ ๆ ปี คนอเมริกันต้องสูญเสียชีวิตไปกว่าครึ่งแสน และถึงจะมีการเดินขบวนต่อต้านการทำสงครามครั้งนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่สนับสนุนการส่งทหารไปเวียดนาม ประเทศชาติมีความคิดแตกแยก ขนาดที่ว่าฉันคิดว่าตอนนี้สหรัฐก็แตกแยกแนวความคิดออกเป็นสองฝ่ายมากแล้ว แต่ยังไม่รุนแรงมากเท่าสมัยสงครามเวียดนาม
คำตอบที่ได้คือ สมัยนั้นคนอเมริกันมีศรัทธาในผู้นำ ในรัฐบาลอย่างแรงกล้า ถ้ารัฐบาลบอกว่าดี ก็ว่าตามกัน แต่หลังจากที่มีการเปิดโปงการกระทำต่าง ๆ นานาของรัฐบาลเพียงเพื่อจะให้ชนะการเลือกตั้ง รวมไปถึงการตีพิมพ์เอกสารลับ Pentagon Papers (ซึ่งกำลังเป็นภาพยนตร์ดังในขณะที่เขียนบล๊อกนี้) ในปี 1971 โดยเอกสารลับนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลอเมริกันตั้งแต่ไหนแต่ไร ยอมรับว่าไม่มีทางที่จะชนะสงครามครั้งนี้ได้เลย (หากไม่มีประธานาธิบดีคนไหนที่อยากประกาศยอมแพ้) แต่ก็ยังให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ส่งผู้คนไปเสียสละชีวิตสู้รบในสงครามเป็นเวลานับสิบปี
ตั้งแต่ต้นปี 1970 ศรัทธาของคนอเมริกันที่มีต่อรัฐบาลก็สั่นคลอนอย่างเห็นได้ชัด หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ มีบทบาทมากขึ้นในการขุดคุ้ยและเปิดโปงการกระทำที่ไม่ถูกต้องของรัฐบาล และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมประธานาธิบดีคนปัจจุบันถึงได้มีอาการต่อต้านสื่อมากขนาดนั้น
ฉันสังเกตว่าผู้นำทางสังคมมักสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน เพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองให้อยู่หมัด กลัวลัทธิคอมมิวนิสต์จะครองโลก กลัวว่าจะไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเสมอภาพและเป็นธรรม กลัวว่าเงินช่วยเหลือจากรัฐจะถูกตัดไป เราต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษในการรับมือความกลัวเหล่านี้ อย่างไรก็ดีขอปิดท้ายด้วยคำสอนของแม่ ที่บอกประมาณว่า มีศีลให้มากเข้าไว้ แล้วจะกล้าหาญเอง