Day One: ก้าวแรกสู่สเปน

กระเป๋าที่ต้องลากและแบกขึ้นลงรถไฟ

กระเป๋าที่ต้องลากและแบกขึ้นลงรถไฟ

ก่อนออกเดินทางได้สองสามวัน พี่พิมยื่นหนังสือมาให้สองเล่ม ชื่อ เที่ยวสเปน ทัศนาจรและวิจารณ์ เล่ม 1 และ 2 เขียนโดย ‘ยงพลบุล’ นับว่าเป็นบุญก้อนใหญ่หล่นทับมาอย่างเหมาะเจาะ ถึงแม้หนังสือเล่มนี้จะเขียนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ยังเล่าเรื่องสมัยที่สเปนยังถูกปกครองโดยนายพลฟรังโก้ และแต่งตั้งให้ดอนฮวนคาร์โลสขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองในต่อมา สมัยที่เมืองแมดริด ยังมีแต่ถนนที่ตั้งชื่อตาม โฮเซ่ อันโตนิโอ เต็มไปหมด แต่เนื้อหาก็ไม่ได้ตกยุคเลยแม้แต่น้อย ต้องขอบคุณหนังสือเล่มนี้อย่างมากที่สร้างสีสันให้การท่องเที่ยวครั้งนี้ (ใช้แต่เล่มหนึ่ง เล่มสองเล่าเรื่องเมืองที่ไม่ได้ไป) ลำพัง DK Eyewitness Travel ก็ช่วยได้แต่เรื่องข้อมูลการท่องเที่ยวและแผนที่ แต่หนังสือของคุณ ยงพลบูล (ซึ่งท่านระบุไว้ในหนังสือว่า ท่านรับราชการอยู่ในสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงแมดริดในปี พ.ศ. 2500) มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเป็นสาระและขำๆ ตลอดเวลา ภาษาที่ใช้อ่านง่าย อ่านสนุก คล้ายๆ รัตนาวดี อ่านบนเครื่องไป กินน้ำมะเขือเทศไป (6 แก้ว) มีความสุขมาก

ส่วนตัวแล้วเห็นว่า สเปนเป็นประเทศที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก เห็นได้จากภูมิประเทศที่ตั้งอยู่เป็นคาบสมุทรของตัวเองเลย ไม่ยุ่งกับใคร แล้วก็ไม่สนใจใครเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนทุกคนจะรุมหลงรักสเปนกันหมด เพราะอากาศดี อุดมสมบูรณ์ คนหน้าตาดี (according to Jib) แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอย่างนี้รึเปล่า ทำให้ประเทศนี้ไม่ค่อยง้อใคร ไม่ค่อยโฆษณาตัวเองให้ใครรู้จัก ไม่เหมือน Tuscany ในอิตาลี หรือ Paris หรือ Provence หรือ Prague ที่หลังๆ มาแรงมาก คิดดูดีๆ แล้วสเปนก็มีอะไรที่เป็นที่รู้จักในสากลโลกมากมายเหมือนกัน พวกอาร์ทก็คงรู้จัก เกาดี้ ดาลี่ พวกทั่วไปก็คงรู้จัก Don Quixote บ้าๆ หน่อยก็อาจรู้จัก แมลงวันสเปน ตัวเองรู้จักเพราะชอบนักเทนนิสสเปนหลายคน ตั้งแต่ Alex Corretja หรือ Juan Carlos Ferrero เล่นเคลย์คอร์ทเก่งกันทุกคนเลย จิ๊บฝากเพิ่มว่า ** อยากให้ช่วยพูดถึงน้อง Nadal (King of Clay Court ในยุคปัจจุบัน) กับ Fernando Alonso (นักแข่งรถชื่อดังที่มี poster อยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง) ** ด้วย

ห้องนอนในโรงแรมของฮาเวียร์ สังเกตหมอนรองคอคู่ใจที่ขาดไม่ได้อีกต่อไป

ห้องนอนในโรงแรมของฮาเวียร์ สังเกตหมอนรองคอคู่ใจที่ขาดไม่ได้อีกต่อไป

สเปนแวบแรกที่เห็นเลย ผิดคาดกว่าที่คิดไว้นิดนึง สนามบิน Barajas ไม่ได้หรูหราอะไรอย่างที่นึกไว้ (ตามประสาคนมาจากสนามบินหรูหราที่เพิ่งเปิดใหม่) แต่พอหลังๆ ก็นึกได้ว่า คนยุโรปคงให้ความสำคัญกับสถานีรถไฟมากกว่า แถว ต.ม. ยาวให้ใจเสียนึดนึง แถมเป็นคิวแบบที่ไม่ชอบ (ยืนแถวไหนก็แถวนั้น ไม่ได้เป็นแบบแถวเดียว แล้วแยกไปตามช่องๆ) แต่สุดท้ายก็เร็วใช้ได้ รอกระเป๋านานหน่อย จนเกือบใจหายว่ากระเป๋าจะมาหายที่นี่แล้วหรือ (แต่ถ้าหาย ก็คงช้อป MNG กันมันส์เลย) ระหว่างรอกระเป๋าก็ให้เกิดอาการปากเสีย แสดงความผิดหวังว่าไม่มีผู้ชายหน้าตาดี ออกมาเป็นภาษาไทยดังๆ โดยมิได้รู้ตัวว่ามีคนไทยคนสวยยืนอยู่ใกล้ๆ หนึ่งคน — อย่างไรก็ดี สุดท้าย เราก็ได้กระเป๋า และเดินทางถึงโรงแรมของคุณฮาเวียร์ ที่ Hostal Gonzalo ได้อย่างเรียบร้อยปลอดภัย ถึงแม้จะต้องเปลี่ยนรถไฟใต้ดินถึง 2 ครั้ง แถมจิ๊บต้องยกกระเป๋าขึ้นกระไดในครั้งที่ไม่มีบันไดเลื่อนไว้คอยบริการอีก

เคล็ดลับส่วนตัวที่จะทำให้หาย Jet Lag และปรับตัวให้เข้ากับเวลาให้ดีที่สุด คือ วันแรกวางกระเป๋า อาบน้ำแล้ว เที่ยว เที่ยว เที่ยว เดิน เดิน ให้มันบ้าไปเลย เดินรอบเมืองได้ยิ่งดี เน้นว่าเดินไม่นั่งรถ ตอนกลางคืนกลับโรงแรมแล้วจะได้เหนื่อย หลับ ตื่นมาได้อย่างปกติเหมือนชาวเมืองทั่วไป มา แมดริด (ต้องอ่านว่า มา-ด-ริ๊ด เพื่อจะได้อารมณ์คนสเปน)คราวนี้ วันแรกก็ใช้กฎเดิม คือเดินมันให้ทั่ว เราตัดสินใจไปพิพิธภัณฑ์ Thyssen Bornemisza ก่อน เพราะคิดว่า ไม่ต้องใช้สติดูมาก (ไม่ใช่รูปแบบที่ชอบ) ดูเสร็จแล้วก็เดินต่อไปบนถนน San Jeronimo ขึ้นไปถึง Sol (อ่านว่า ซอล) แล้วก็เลยไปถึง Plaza Mayor และอื่นๆ อีกมากมาย แวะกิน Paella อย่างที่คนแนะนำมา แล้วก็พบว่าที่ Patio ทำอร่อยกว่าเยอะ แต่ที่อร่อยจริงๆ คือ Calamari วันนี้ไปดูเรื่อง Pirates of the Carribean มา ยังคิดถึง อยากกินอยู่เลย

ก่อนกลับโรงแรม พยายามเดินหานมกล่อง มากินก่อนนอน ไม่ยักกะมีแฮะ มีแต่เป็นขวดโตๆ ขนาดแถวบ้านฮาเวียร์มีแต่ร้านขายของชำของคนจีนเต็มไปหมด ยังไม่มีเลย

เริ่มสะสางชีวิต และเอนหลังตอน 2 ทุ่ม กว่าจะหลับจริงๆ ก็ 4 ทุ่ม ที่นี่ 3 ทุ่มกว่าๆ ฟ้ายังแจ้ง เหมือนบ้านเราตอน 5 โมงเย็นเลย

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.