Archive for the ‘วัฒนธรรม Culture’ Category

50 Is Not the New 40: Venni – Vidi – Mi Divertii รอบกรุงโรม

[กรกฏาคม ๒๕๖๖] ทุก ๆ ครั้งที่ไปกันยาโน เราจะใช้เส้นทางหลวงหมายเลข A24 ขับออกจากโรมไปทางตะวันออก ใช้เวลาราว ๆ 2 ชั่วโมงก็ถึง ปีนี้ พี่เอ็นโซได้ความคิดว่าเราหาที่เีที่ยวระหว่างทางกันดีกว่า เปาโลได้ยินก็เห็นดี ชวนโรแบร์ต้าและเฟเดไปด้วย ทริปครั้งนี้เราเลยมีเพื่อนร่วมทางทั้งหมด 5 คน

เราออกจากโรมประมาณสิบโมง ขาไปเรายังใช้เส้นทางสาย A24 เหมือนทุกครั้ง แวะซื้อข้าวกลางวันที่จุดพักรถ L’Aquila Ovest แวะซื้อดอกไม้ที่ร้านประจำไปให้เลาร่า หลังจากกินข้าวกลางวันที่บ้านเสร็จ เราก็เริ่มออกผจญภัยกัน

Antrodoco

เราใช้ถนนสายรอง SS4 ขับลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ สถานที่แรกที่เราแวะ ไม่ได้อยู่ในแผนที่คุณสามีวางไว้ แต่ได้รับคำแนะนำจากนอนน่าให้แวะซื้อขนมปังที่เมือง Antrodoco ข่าวบอกว่าเป็นร้าน Alimentari ที่ครอบครัวมาจับจ่ายใช้สอยเป็นประจำ ฉันถือโอกาสซื้อขนม Taralli กินด้วย อร่อยมาก แต่เสียดายที่อยู่ในช่วงพักรบกับน้ำตาล เลยเอนจอยขนมหวานได้ไม่มากเท่าที่ควร

จุดพักที่สองตามแผนคือ Terme Di Cotilia (mitiche) ตั้งอยู่ในจังหวัด Rieti ซึ่งเป็นไฮไลท์หนึ่งของทริปที่เรายังโจษจันกันจนบัดนี้แม้ว่าจะผ่านมาหลายเดือนแล้ว ที่บ่อน้ำพุร้อนนี้ มีน้ำกำมะถัน หรือ Le acque sulfruee ที่แม้จะมีกลิ่นเหม็นมาก (ยืนยันได้ว่ากลิ่นไข่เน่าของแท้และแน่นอน) แต่ตำนาน(ในครอบครัว) เล่าว่า มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง คุณตาของพี่เอ็นโซผู้ตักไปดื่มเป็นประจำ มีอายุยืนยาวและแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ (เมื่อท่านมีอายุได้ 99 ปี ท่านยังเสนอตัวที่จะช่วยยกกระเป๋าเดินทางให้หลานผู้ซึ่งเพิ่งลงจากเครื่องบินจากอเมริกาให้) ค้นข้อมูลเพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ตพบกว่า ใกล้ ๆ กับจุดที่เราไปรองน้ำมาดื่ม มีโบราณสถานสมัยโรมัน เพราะบ่อน้ำพุร้อนนี้เป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิ Vespasiano (เจ้าของผลงานอันโด่งดังอย่าง Colosseo) และจักรพรรดิ Tito

Terme Di Cotilia
จุดสำหรับนักท่องเที่ยวไปรองน้ำกำมะถัน เห็นง่าย เป็นก๊อกน้ำอยู่ริมถนน ด้านในมีสปาหรูหรา สำหรับคนที่ต้องไปพักรักษาตัวอย่างจริงจัง
Santacittarama

เราขับกันต่อมาเรื่อย ๆ ถนนเริ่มเล็กลงและคดเคี้ยวเล็กน้อย ทำท่าว่าอาจจะหลงเหมือนกัน แต่ในที่สุดเราก็มาถึง Santacittarama ซึ่งพี่เอ็นโซเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด กะจะเซอร์ไพรส์ฉันเต็มที่ ฉันผู้ซึ่งห่างศาสนามานาน เมื่อเห็นจีวรพระสีเหลือง ๆ ส้ม ๆ เดิน ๆ อยู่ในซอย ถึงกับร้องน้ำตาซึมออกมาอย่างไม่อายคนรอบข้าง วัดสันตจิตตาราม [Via Brulla, 02030 Poggio nativo RI] เป็นสาขาวัดหนองป่าพง เราไปถึงช่วงบ่าย จึงไม่ได้พบใครมากมาย การได้เข้าไปไหว้พระก็ทำให้จิตสงบลงอย่างน่ายินดี

ก่อนกลับบ้าน เราแวะอาราม Abbazia di Farfa [Via di Porta Montopoli, 02032 Fara in Sabina RI] เป็นอารามนิกายเบเนดิกทีน ยุคกลาง ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เสียดายที่ปิดทำการแล้ว เลยไม่ได้เข้าไปสักการะ แต่อยากจะเชิญชวนทุกท่านให้แวะไปเยี่ยมชม เพราะเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่น่ารักมาก

Abbazia di Farfa
รอบ ๆ Abbazia di Farfa

คืนนั้น กลับบ้าน นอนหลับสนิท ฝันดี ปลื้มใจด้วยและเหนื่อยด้วย ขอบคุณพี่เอ็นโซที่วางแผนการเดินทางได้อย่างวิเศษสุด ขอบคุณเปาโลที่ช่วยขับรถพาไปเที่ยว ขอบคุณโรแบร์ต้าและเฟเดที่เป็นเพื่อนให้ความรู้และความบันเทิงตลอดทาง

ปลาดุกผัดเผ็ด สาวจีน หมาดำ: ภาคหนึ่ง – สายฝนและเนินชันในซีแอตเทิล

[สงกรานต์ ๒๕๖๑] ปีนี้ฤกษ์ดี ได้ไปหาพลอยเสียทีหลังจากที่อิดออดมาเป็นเวลานาน พี่พิมบอกว่าสงกรานต์ปีนี้จะแวะเที่ยวซีแอตเทิลก่อนจะขับรถตะลุยชายฝั่งแปซิฟิก หันมานับแต้มไมล์ของสายการบินที่สะสมไว้ ปรากฏมีสำหรับตั๋วบินฟรีในประเทศพอดีิบพอดี จะรออะไร ไปเที่ยวกับพี่พิม แล้วเลยไปทำความรู้จักมะลิกันดีกว่า

ฉันรู้จักซีแอตเทิลจากหนังของทอม แฮงก์ รู้ว่าเป็นฉากหลังของซิทคอมเรื่อง Frasier และรู้จักดียิ่งขึ้นเมื่อมีเพื่อนสาธิตฯ ที่ไปตั้งรกรากอยู่ที่นั้น ซีแอตเทิลเป็นเมืองที่มีลักษณะภูมิศาสตร์สุดเท่ห์ ตั้งอยู่บนลักษณะภูมิประเทศที่เรียกว่า Puget Sound (เข้าใจเอาเองว่าเป็นพื้นน้ำที่ต่อมาจากมหาสมุทรแปซิฟิก ใหญ่กว่าอ่าว และกว้างกว่าฟยอร์ด) เป็นเมืองที่ใคร ๆ ก็ลงความเห็นกันว่าเป็นเมืองที่เฉอะแฉะมากที่สุดเมืองหนึ่งในโลก คนซีแอตเทิลหลาย ๆ คนเล่าด้วยความภูมิใจว่า ซีแอตเทิล (และเมืองใกล้เคียง) เป็นที่กำเนิดของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งของอเมริกา ทั้งแอมะซอน ไมโครซอฟท์ คอสโก้ ยูพีเอส

ร้านขายอาหารทะเลในตลาด

ซีแอตเทิลเป็นเมืองสำหรับการท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ รองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวทุกประเภท อยากชื่นชมธรรมชาติขึ้นห้วยปีนเขา ก็มีให้เดิน อยากดื่มด่ำกับศิลปวัฒนธรรมก็มีพิพิธภัณฑ์ให้ชม อยากชมวิถีชาวบ้าน ก็ไปตลาดดูคนตะโกนส่งปลากันไปมาได้ไม่เบื่อ ชอบเทคโนโลยี ก็ไปเที่ยวแคมปัสของแอมะซอน และแน่นอนว่าสาวกของสตาร์บั๊กต้องไม่พลาดไปเยี่ยมคารวะร้านกาแฟสาขาแรกของโลก ข้อสำคัญคือเมืองนี้มีอาหารการกินอร่อย ๆ มากมาย ไม่นับว่าทุก ๆ บล๊อกต้องมีร้านอาหารไทย ในขณะเดียวกันก็มีโฮมเลสเยอะจริง ๆ (แต่ไม่ต้องกังวล คุณเขาอยู่กันเป็นหลักเป็นแหล่งดีทีเดียว)

สองวันในซีแอตเทิลของฉันกับพี่พิมมีแดดออกแค่เย็นวันแรกวันเดียว ที่เหลือฝนตกพรำ ๆ ตลอด เรียกว่าอากาศแบบตากผ้าแห้งได้ยาก คนเมืองนี้ไม่ยี่หระที่จะกางร่มหรือสวมเสืิ้อกันฝนแม้แต่น้อย อย่างไรก็ดีเล๊กซี่ (น้องตัดผม) ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า เห็นฝนตกเยอะ ๆ อย่างนั้น เอาเข้าจริง ๆ ซีแอตเทิลมีวันที่แดดออกมากกว่าคลีฟแลนด์เสียอีก

วิวจาก Kerry Park

เราพักโรงแรม MarQueen Hotel (600 Queen Anne Avenue North, Seattle, WA 98109 Phone: +1 206-282-7407) ซึ่งอยู่ในแถบ Queen Anne ซึ่งเป็นทำเลที่คึกคัก ร้านอาหารมากมาย โรงแรมนี้น่ารัก ดูโบราณ ห้องใหญ่โต มีครัวให้พร้อม มองนอกหน้าต่างจะเห็น Space Needle ตื่นเช้ามาจะได้ยินเสียงนกนางนวลจ๊อกแจ๊กไปหมด อาหารเช้าของโรมแรมอุดมสมบูรณ์ กินบิสกิตกับเกรวี่กันพุงกาง เสียอย่างเดียวคือไม่มีลิฟต์ แต่ก็มีคนยกกระเป๋าใจดี ช่วยยกกระเป๋าขึ้นมาชั้นสามได้อย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม

เที่ยวซีแอตเทิลกับพี่พิมเร้าใจเป็นอย่างมาก สะดวกสบายมีรถไฟรางเบาจากสนามบินเข้าถึงตัวเมือง เราใช้วิธีการเดินชมเมืองและนั่ง Uber/Lyft ไปมาเป็นหลัก พี่พิมมองจักรยานที่เขาจัดไว้ให้เช่าด้วยตาเป็นประกาย ในขณะที่ฉันได้แต่แสดงอารยะขัดขืนกลับไปอย่างสุภาพ คิดในใจว่า พี่พิมคงไม่สนุกแน่ถ้าต้องมาดูน้องจักรยานล้มในซีแอตเทิล เราได้ไปเที่ยว Underground tour  ไปเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของเมือง ไม่ว่าจะเป็นการตัดและขนไม้ เทคโนโลยีเครื่องจักรไอน้ำ เรื่องการต้มกาวจนเกิดไฟเผาเมืองวอดวาย นำไปสู่การสร้างร้านค้าใต้ดิน ได้ไปกินอาหารจีนอร่อย ๆ ที่เกมส์แนะนำมาแถว Pioneer Square ไป Pike place market ซึ่งเป็นที่ตั้งของสตาร์บั๊กสาขาแรก (1912 Pike Pl, Seattle, WA 98101 – พร้อมโลโก้นางเงือกโชว์นม) ไปดูคนขายปลาโยนปลาเมื่อมีลูกค้ามาซื้อ (ร้านนี้อยู่ใกล้ ๆ รูปปั้นทองเหลืองหมู) และถ่ายรูป Gum Wall (ที่นี่สวย ไม่น่าสะพรึงกลัวเหมือนบ้านจูเลียตที่เวโรนา)

บรรยากาศใน Starbucks Reserve

พี่พิมชวนไปดู Starbucks Reserve Roastery (1124 Pike Street, Seattle, WA 98101) ฉันเองขนาดเป็นคนไม่กินกาแฟ ก็อดจะตื่นตาตื่นใจไปด้วยไม่ได้ ต่อด้วยการทัศนศึกษาที่ Amazon Go (2131 7th Ave, Seattle, WA, near the corner of 7th and Blanchard) เป็นร้านเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 7-11 ตรงซอยเซ็นต์หลุยส์ ตื่นตาตื่นใจมากว่าระบบรู้ได้อย่างไรว่าเราซื้ออะไรไปบ้าง ตอนหลังพลอยช่วยอธิบายว่า คุณเค้าใช้กล้องหลายตัวคอยจับอิริยาบถของเรา ตอนนี้ระบบยังอยู่ในช่วงพัฒนา ทำให้ยังใช้เวลาค่อนข้างมากในการยืนยันรายการซื้อของของเรา พี่เอ็นโซบอกว่า เห็นเทคโนโลยีแอมะซอนทำให้เราสะดวกสบายใช้งานง่ายอย่างนี้ แต่เบี้องหลังซับซ้อนและมีความยากลำบากมากกว่าจะพัฒนามาได้อย่างนี้

ปิดท้ายซีแอตเทิล ด้วยการลากขาขึ้นเขาไปชมทิวทัศน์ที่ Kerry Park ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโรงแรมเท่าไรนัก อย่างไรก็ดีเดินครั้งนี้เที่ยบเท่ากับการขึ้นบันไดตึก 22 ชั้น (พี่พิมบอกมา) แอบเคืองพนักงานโรงแรมนิด ๆ ว่าน่าจะเตือนกันหน่อยว่ามันต้องเดินขึ้นเนินชัน แต่วิวที่ได้เห็นก็สวยบาดใจ แถว Kerry Park มีบ้านและสวนสวย ๆ มากมาย คนขับรถ Lyft เล่าว่าคนแถวนี้รวยเพราะขายเครื่องมือให้กับคนที่แห่กันไปขุดทอง (Klondike Gold Rush) ที่แคนาดาในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 19 ต่อต้นคริสตศตวรรษที่ 20

เดินทางครั้งนี้เรียบร้อยดี เจ็ทแหลกเล็กน้อย เหมือนทุกครั้งที่จะตื่นตอนตีสี่เพราะหิวข้าว ยอมนั่งรถ Belair จากเบลลิงแฮม (Bellingham – 4 Points by Sheraton – http://www.airporter.com/) มารอที่สนามบินแต่หัววันเพื่อจะให้มั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์ประหลาด แต่กระนั้นก็ดีขาไปก็เกือบพลาดเที่ยวบิน ขากลับตอนไปต่อเครื่องที่ดัลลัส มีเรื่องตื่นเต้น เพราะสายการบินเกิดประกาศเปลี่ยนประตูขึ้นเครื่องกระทันหัน แค่ 20 นาทีก่อนเรียกขึั้นเครื่อง แถมเกทใหม่ก็อยู่ไกลมาก ต้องนั่งรถไฟไปอีกเทอร์มินัลหนึ่ง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี

สำหรับผู้ที่สนใจจะไปเที่ยวซีแอตเทิล ขอแนะนำให้เข้าไปศึกษาข้อมูลที่เว็บไซต์ https://www.citypass.com/seattle มีตั๋วเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ ขายในราคาพิเศษด้วยค่ะ


ที่พัก

MarQueen Hotel (โรงแรมนี้ทำเลดีมาก ไม่ได้อยู่ดาวน์ทาวน์ แต่สะดวกสบาย)
600 Queen Anne Avenue North, Seattle, WA 98109
Phone: (206) 282-7407

11th Avenue Inn Bed and Breakfast (เกือบจะได้ไปนอน ทำเลดูดี น่าอยู่มาก)
121 11th Ave E, Seattle, WA 98102
Phone: (206) 720-7161

Jade Garden (เน้นติมซำ)
424 7th Ave S, Seattle, WA 98104
Phone: (206) 622-8181

Pho 25
1525 3rd Ave, Seattle, WA 98101
Phone: (206) 587-0862

Silver Spoon Thai Restaurant
3828 196th ST SW, Lynnwood WA 98036

ร้านอาหาร (ที่เพื่อน ๆ แนะนำมาแต่ไม่ได้ไปกิน)

Mike’s Noodle House (อาหารจีน โจ๊กอร่อย Cash only)
418 Maynard Ave S, Seattle, WA 98104
Phone: (206) 389-7099

Fuji Sushi (ร้านญี่ปุ่น เบนโตะอร่อย)
520 S Main St, Seattle, WA 98104
Phone: (206) 624-1201

Le Panier (ร้านขายขนมปังฝรั่ง ใกล้ ๆ ตลาด)
1902 Pike Pl, Seattle, WA 98101
Phone: (206) 441-3669

Mai Thaiku (อาหารอีสาน)
6705 Greenwood Ave N, Seattle, WA 98103
Phone: (206) 706-7807

Pop Pop (อาหารไทยจานเดียว)
13242 Aurora Ave N #104, Seattle, WA 98133
Phone: (206) 695-2858

Noodle Nation (ก๋วยเตี๋ยว)
4232 University Way NE, Seattle, WA 98105
Phone: (206) 632-5833

Bai Tong
1121 E Pike St, Seattle, WA 98122
Phone: (206) 787-8448

Zapverr
3410 Fremont Ave N, Seattle, WA 98103
Phone: (206) 632-2898

Krua Thai
2515 NE 55th St, Seattle, WA 98105
Phone: (206) 985-4398

Noodle Boat
700 NW Gilman Blvd # E104b, Issaquah, WA 98027
Phone: (425) 391-8096

Isarn Thai Kitchen
4775, 18530 33rd Ave W ste b, Lynnwood, WA 98037
Phone: (425) 697-3111

Bacco Cafe (Breakfast & lunch spot serving local produce & organic eggs, with a wine bar, at Pike Place Market.)
86 Pine St, Seattle, WA 98101

Steelhead Diner (Laid-back option for Pacific Northwestern comforts including jumbo crab cakes & gumbo)
95 Pine St, Seattle, WA 98101

The Athenian (พลอยบอกว่าไกด์แนะนำให้มากิน)
1517 Pike Pl, Seattle, WA 98101
Phone: (206) 489-4434

 

กินปลาช่วงเข้าพรรษาแบบฝรั่ง

Lenten Fish Fry

Lenten Fish Fry

[๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑] ชื่อเรื่องคราวนี้ตั้งได้มั่วมาก ๆ เพราะเข้าพรรษาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงวันสำคัญทางพุทธศาสนาที่ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หากแต่ต้องการจะกล่าวถึงช่วงถือศีลอดของชาวคริสต์ ก่อนจะถึงวันอีสเตอร์ ฝรั่งเรียกช่วงถือศีลอดนี่ว่า Lent คนไทยเรียกช่วงเข้าพรรษาเป็นภาษาอังกฤษว่า Lent เหมือนกัน ฉันเลยเอาสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันมาผูกกันเป็นเรื่องเดียว

ช่วง Lent นี้เริ่มขึ้นหลังจากวันมาร์ดิกราสที่เรา ๆ รู้จักกันดี วันรุ่งขึ้นจากนั้นถือเป็นวันแรกของ Lent คือวัน Ash Wednesday และนับจากนั้นไปอีก 6 อาทิตย์ก็จะเป็นช่วงที่ชาวคริสต์ถือศีลอดกัน ชาวพุทธอย่างฉันก็พลอยได้ผลบุญไปด้วย เพราะช่วง Lent นี่ มีธรรมเนียมว่าคนจะหันมากินปลา แทนเนื้อ ทำให้บรรดาร้านอาหารต่าง ๆ จะทำเมนูอาหารที่ทำจากปลาอร่อย ๆ ออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านฟาสต์ฟู้ดอย่าง Wendy’s Arby’s  หรือ Boston’s Market เป็นต้น

นอกจากร้านอาหารแล้ว โบสต์ต่าง ๆ ก็จะมีเทศกาล Lenten Fish Fry ทำปลาทอด ปลาอบออกมาขายทุก ๆ วันศุกร์ตลอดเทศกาล เพื่อเป็นการหาเงินเข้าบำรุงศาสนาและกิจการของโบสถ์ โบสถ์กรีก Sts. Constantine & Helen (3352 Mayfield Rd, Cleveland Heights, OH 44118 Phone: (216) 932-3300) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านฉันมาก มีชื่อเสียงในการทำปลาทอดขาย คนมากมายขับรถมาจากเมืองไกล ๆ เพื่อมากินปลาที่โบสถ์นี้กัน ฉันตั้งใจว่าจะไปลองชิมมาหลายปีแล้ว เพิ่งได้มีโอกาสไปก็ปีนี้นี่เอง

ทำการบ้านค้นหาข้อมูล (จากมินนี่) มาได้ว่า โบสถ์จะเปิดขายอาหารตอน 5 โมงเย็น และควรรีบไป เพราะถ้าไปช้า จะไม่มีที่จอดรถ พอดีว่าเย็นนั้นต้องไปตัดผมแถวนั้นพอดี เสร็จธุระไปถึงโบสถ์ประมาณ 4 โมง 45 นาที นึกในใจว่าคงยังไม่มีคนมา ปรากฏว่าเปิดประตูเข้าโบสถ์ไป มีคนรอคิวยาวจนแทบจะล้นออกมานอกตึกอยู่แล้ว

ห้าโมงปุ๊ป ประตูห้องอาหารก็เปิด เดินเข้าไป พบว่ามีการแบ่งแถวออกเป็นสองด้าน ด้านซ้ายเป็นแถวสำหรับคนที่จะสั่งกลับบ้าน ด้านขวาสำหรับคนที่จะซื้อเพื่อรับประทานในโบสถ์

เมนูประกอบด้วยอาหารทีเน้นปลาและกุ้ง มี All You Can Eat Whitefish มีปลา Walleye อบ หรือ ทอด มีกุ้งทอด และมีเมนูพิเศษสำหรับเด็กมหาวิทยาลัยให้กินได้ไม่อั้น ทุกอย่างเสิร์ฟ พร้อมกับข้าวอบเนย หรือ เฟรนช์ฟราย และโคลส์ลอว์ และขนมปัง นอกจากนี้ยังมีเป๊าะเปี๊ยะแบบกรีกขาย มีซุปแคลมชาว์เดอร์ มีแมคแอนชีส รวมไปถึงขนมหวานต่าง ๆ เช่น ไรซ์พุดดิ้ง ขนมหวานแบบกรีก และน้ำดื่ม น้ำอัดลม เบียร์ ราคาไม่แพงมาก อาหารจานหลักเริ่มต้นที่ 12 เหรียญ รับทั้งเงินสดและบัตรเครดิต

โปรดอย่าถามว่าอร่อยถูกปากคนไทยอย่างฉันหรือไม่ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ได้ไปเห็น ได้ไปชิมก็แล้วกัน

ประสบการณ์ปลายรุ้งที่เซนต์ลูเชีย

วิวจากยอดเขาใน Pigeon Island

วิวจากยอดเขาใน Pigeon Island

[กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑] เรามีโอกาสได้ไปเที่ยวทะเลแถบแคริเบียนมาหลายครั้ง ทุกครั้งที่นั่งลงจัดกระเป๋าเตรียมออกเดินทางในเดือนมกราคม ก็จะมีความรู้สึกตื่นเต้นแบบขำ ๆ เสมอ เพราะในขณะที่เราคุ้ยเสื้อยืด กางเกงขาสั้น โสร่ง ชุดว่ายน้ำ รองเท้าแตะออกมาจากกล่อง นอกหน้าต่าง อากาศกำลังหนาวเหน็บ อุณหภูมิติดลบ พื้นเป็นน้ำแข็งหรือไม่ก็มีหิมะตกโปรยปราย  และก็ด้วยความแตกต่างของอากาศเช่นนี้นี่เอง จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ (เกือบจะ) ทิ้งเสื้อโค้ทไว้ที่เกาะ ลืมหยิบกลับมาคลีฟแลนด์ด้วย โชคดีที่ยังขับรถออกมาไม่ไกล ยังพอขับกลับไปเอามาได้อยู่

จุดหมายประจำปีนี้อยู่ที่เกาะเซนต์ลูเชีย เป็นเกาะเล็ก ๆ ใหญ่กว่าเกาะภูเก็ตเล็กน้อย ทิศตะวันออกติดมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศตะวันตกติดทะเลแคริเบียน มียอดเขา The Pitons สองยอด (Gros Piton และ Petit Piton – ที่มองเผิน ๆ ชวนให้นึกถึงเขาอกทะลุ) เป็นสัญลักษณ์ (และยี่ห้อเบียร์) ของประเทศ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ปนกับภาษา Creole สกุลเงินของเซนต์ลูเชียเป็น East Caribbean Dollar ซึ่งคนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า อีซี่  (1 ECD= ประมาณ 35 เซนต์) อย่างไรก็ดี ชาวเซนต์ลูเชียนก็คล้าย ๆ กับประเทศในกลุ่มแคริเบียนประเทศอื่น ๆ คือ ยินดีที่จะรับเงินดอลลาร์ในการชำระค่าสินค้า โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยนแบบหลวม ๆ (ที่ทำให้เราขาดทุน) เช่น 20 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 50 อีซี่ เป็นต้น ช่วงแรกที่ไปถึง เรามีปัญหากับการเบิกเงินจากเอทีเอ็มเล็กน้อย จนท้ายสุดถึงได้ค้นพบว่า ต้องไปที่ธนาคารแห่งสก๊อตแลนด์เท่านั้นจึงจะใช้เอทีเอ็มของเราเบิกเงินได้

วิวจากห้องที่เราพัก จะเห็นเรื่อเดินสมุทรเข้าออกเป็นประจำทุกวัน

วิวจากห้องที่เราพัก จะเห็นเรื่อเดินสมุทรเข้าออกเป็นประจำทุกวัน

เราจองที่พักผ่าน AirBnb หลังจากที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในทริปที่แล้ว ที่พักของเราคราวนี้เป็น Penthouse Apartment Amazing Views ตั้งอยู่ในแคสตรี่ (Castries)  ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาะ จากสนามบิน ขับรถขึ้นเขา ผ่านป่าดงดิบ ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมง บ้านสะอาดสะอ้าน ลมทะเลพัดตึง ๆ ไม่ต้องเปิดแอร์แม้แต่น้อย ในบ้านมี 1 ห้องนอน (พร้อมมุ้ง! ซึ่งคุณสามีตื่นเต้นมาก) ห้องน้ำ ห้องครัวพร้อมอุปกรณ์ทำอาหาร จากระเบียงบ้านมองออกมาจะเห็นท่าสำหรับเรือเดินสมุทรเข้ามาเทีียบท่า ใกล้ ๆ กันเป็นสนามบินสำหรับเครื่องบินเล็ก ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งหลังฝนตก เราจะเห็นรุ้งกินน้ำ 5-6 ตัวปรากฏอยู่รอบ ๆ บ้าน ตื่นตาตื่นใจเป็นยิ่งนัก

ชาวลูเชียนอัธยาศัยดีมากถึงมากที่สุด ทุกคนเป็นมิตรและให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี จนบางครั้งฉันรู้สึกผิดที่ไประแวงใคร ๆ มากเกินไป แต่อย่างไรก็ดี ก็มีคนประเภทที่เข้ามาชวนคุยและพยายามจะขอให้ซื้อของบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของเมืองท่องเที่ยวทั่วไป

อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ คนในเกาะนี้ค่อนข้างระมัดระวังกับการใช้ไฟมาก ขนาดที่ว่าปลั๊กทุกปลั๊กจะมีสวิชต์เปิดปิด เมื่อเราไม่ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องนั้นแล้ว ก็ขอให้กดปุ่มปิดไฟที่ปลั๊กเสีย หรือเวลาจะออกจากบ้าน ก็จงปิดเราท์เตอร์เสีย เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้วายฟาย

***สถานที่ท่องเที่ยว***

เกาะ Rat ที่ Choc Beach

เกาะ Rat ที่ Choc Beach

เซนต์ลูเชียมีหาดทรายให้เที่ยวชมและว่ายน้ำได้ทางฝั่งตะวันตกของเกาะ ไกด์ (=พี่เอ็นโซ) อธิบายว่าทางฝั่งตะวันออกของเกาะ ลมแรงมาก ไม่สามารถเล่นน้ำได้ กิจวัตรประจำวันคือ ตื่นเช้าปุ๊ป ก็เดินไปหาด La Toc ซึ่งต้องลงเนินผ่านโรงแรม Sandal Beach ไปประมาณ 15 นาที ให้(ไกด์) ว่ายน้ำเสร็จหนึ่งรอบใหญ่ ๆ  จากนั้นก็เดินขึ้นเขากลับบ้าน กินข้าวเช้า และเตรียมตัวสำรวจบริเวณต่าง ๆ ของเกาะในแต่ละวัน (ขอสารภาพว่าหาดทรายเมืองไทยสวยกว่ามาก) ไม่ว่าจะเป็น

  • หาด Choc ทะเลสวย มีเกาะชื่อเกาะ Rat ที่พี่เอ็นโซพายเรือไปนอนพักเป็นครึี่งวัน
  • หาด Donkey ที่แสนจะลึกลับ ต้องเดินผ่านเหมืองหิน (Quarry) และไต่เนินเขาขึ้นไป หาดสวยแต่กลิ่นหอยกลิ่นปลาแรงเกือบเท่า ๆ เก้าเส้ง
  • หาด Reduit ทรายขาว น้ำใส่ แต่เสียงดัง เย็น ๆ ชาวบ้านจะมาจอดรถก่อไฟเอาไก่ไปปิ้งกัน ร้องรำทำเพลงสุดสวิงเฮฮาปาร์ตี้
  • หาด Vigie ใกล้ ๆ สนามบินเล็ก หาดนี้สวย สกปรกเล็กน้อย อาจจะต้องระวังหน่อย มีบางส่วนของหาดที่ไม่แนะนำให้เดินไป
  • อ่าว Marigot เป็นอ่าวสำหรับเรือยอร์ชมาจอดเทียบท่าเช่นกัน มีร้านอาหารเก๋ ๆ และสามารถนั่งเรือออกไปชมอ่าวได้
  • อุทยานแห่งชาติ Pigeon Island ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเกาะจริงจังเท่าไร ไม่ต้องนั่งเรือไป สามารถขับรถเข้าไปได้ หาดสวย แต่เสียงเพลงดังจากโรงแรมข้างเคียงทำลายบรรยากาศสุด ๆ สามารถเดินขึ้นเนินไปชมวิวสวย ๆ ได้ มีโบราณสถานให้ชม เช่น ห้องครัวของทหารสมัยโบราณ ***ห้องน้ำสะอาดมาก ๆ สะอาดถึงขนาดเข้าไปนอนได้ ***
  • หาด Cas en Bas ซึ่งเป็นหาดสวยแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ต้องขับรถผ่านถนนออฟโรดเข้าไปหลายกิโลเมตร หาดนี้ลมแรง มีสาหร่ายมากมาย เหมาะสำหรับเล่น Kite surfing
  • อ่าว Rodney ซึ่งเป็นอ่าวสำหรับจอดเรือยอร์ช หรูหรา มีร้านอาหารน่ารัก ๆ รวมถึงร้านอาหารไทยด้วย

สำหรับวันที่ฝนตก เราปรับโปรแกรมเป็นการเดิมชมซากโบราณสถานแทน เซนต์ลูเชียเคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสและอังกฤษมาก่อน และเพิ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 1979 หรือเมื่อสี่สิบปีที่แล้วนี่เอง อย่างไรก็ดีจะเห็นได้ว่า ชื่อสถานที่ต่าง ๆ ยังมีชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสมากมาย ใกล้บริเวณที่เราพัก มีป้อมโบราณของอังกฤษตั้งอยู่ เดินชมแล้วก็อดนึกถึงทหารสมัยโบราณที่ต้องจากบ้านจากเมืองมาประจำอยู่ที่เกาะนี้ คงเหงาน่าดูเหมือนกัน

เรามีโอกาสได้เข้าเมืองไปเที่ยวตลาดสดกลางเมืองแต่เช้ามืด ปกติทุกเช้าจะมีตลาดสด แต่ถ้าจะต้องการชมตลาดเต็มสเกลต้องไปเช้าวันเสาร์ ซึ่งสะดวกกับผู้มาเยือนเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีที่จอดรถว่างมากมาย (ในขณะที่วันธรรมดา จะไม่มีที่จอดรถเลย) ตลาดที่นี่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชผักผลไม้ กล้วย กล้าย ชมพู่มะเหมี่ยว มะพร้าว อ้อย สาเก ฯลฯ แอบเสียดายว่าหาฝรั่งสดกินไม่ได้ ได้กินแต่แยมฝรั่งแทน ซื้อส้มมากิน ปอกออกดูปรากฏว่าเป็นส้มแบบส้มเช้ง แต่เปรี้ยวมาก ๆ สุดท้ายก็ค้นพบว่าคนที่นี่เค้าไม่กินเนื้อส้มกัน เขาเอาไปคั้นกินแต่น้ำ ใกล้ ๆ ตลาดสด มีตลาดขายของที่ระลึก เช่นกำไล สร้อย กระเป๋าทำจากมะพร้าว ตะกร้าหวาย ฝีมือปกติ ไม่ละเอียดเหมือนของบ้านเรา แอบสังเกตว่าของที่ชาวบ้านนิยมทำมาขายนักท่องเที่ยวคือ ลูกมะพร้าวแห้ง นำมาตกแต่งเป็นที่ให้อาหารนก และหมวกสานจากใบมะพร้าว

วันสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องกลับ พี่เอ็นโซขับรถผ่านเขาพับผ้าไปเกือบสองชั่วโมง เพื่อมาแวะที่เมืองซูแฟร์ (Soufriere) ก่อนจะไปสนามบิน เมืองนี้เป็นที่ตั้งของเขาพิตัน สัญลักษณ์ประจำประเทศ เมืองน่ารักมีสีสันสวยงาม สามารถนั่งเรือออกไปชมอ่าว หรือเดินป่าก็ได้

***อาหาร***
จนบัดนี้ ฉันก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่า ทำไมเกาะแถว ๆ นี้ ถึงไม่ค่อยมีอาหารทะเลอร่อย ๆ ให้กิน คนเซนต์ลูเชียกินปลามาก แต่ไม่นิยมมากเท่าไก่ อาหารพื้นเมืองจะขายเป็น Meal คือ มีเนื้อ มีข้าว มีถั่ว มีเครื่องเคียง เช่น กล้าย และเผือกมันต่าง ๆ เป็นต้น เห็นได้ชัดว่าคนแถวนี้กินอาหารจำพวกหัวเผือกหัวมันเยอะมาก วิธีการปรุงก็คือเอาไปต้ม และนำมากินเป็นเครื่องเคียง อาหารที่นี่ราคาไม่แพง ประมาณ 15 ECD นอกจากนี้ก็มีซุปต่าง ๆ เช่น ซุปส้นตีนวัว มีสตูว์ (bouillon) หางหมู สตูว์คอแกะ และที่น่าประหลาดใจคือ (1) นอกจากข้าวแล้ว คนกินโรตี (Roti) กันแพร่หลาย (ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่เห็นจะมีคนอินเดียสักเท่าไร) โดยนำแป้งโรตีมาห่อแกงนานาชนิด เสิร์ฟพร้อมสลัด (2) อาหารจีนค่อนข้างได้รับความนิยม ถ้าไม่กินข้าว ก็จะเห็นคนกินเส้นหมี่เหลืองหรือที่เรียกกันติดปากว่าโลวเมียน (Lo mein) แทน

อาหารว่างอีกชนิดที่พบเจอได้บ่อย คือกระหรี่ปั๊ปทอด ไม่แน่ใจว่าที่นี่เรียกว่าอะไร แต่มีลักษณะคล้าย ๆ แพตตี้ที่เคยกินที่จาไมก้า อันละ 1 ECD มีไส้หลายแบบ ที่ได้ลองคือไส้ปลาเค็มหรือที่เรียกกันว่า แอคครา (Accra)

 

IMG_20180105_113716447_HDR

Massy Supermarket

การท่องเที่ยวคราวนี้ทีี่เป็นไปอย่างสนุกสนานได้ต้องขอบคุณพี่เอ็นโซที่อดทนขับรถพวงมาลัยขวาและแสนจะหนักเพราะไม่เป็นพวงมาลัยแบบพาวเวอร์ ขับขึ้นเขาลงห้วยไปตามโค้งพันโค้งอย่างไม่ปริปากบ่น แถมยังเจอโค้งหักศอก (แบบเดียวกับทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งคนที่นี่เรียกว่า “Hairpin”) หลายครั้งทีเดียว โชคดีที่เราค้นพบว่า เราสามารถใช้ Google Maps ได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ Data Plan จึงทำให้การเดินทางเป็นไปค่อนข้างราบรื่น (ไม่หลงทางมากเท่าไร) แต่ก็มีบางครั้งที่กูเกิ้ลใจร้ายบอกทางอ้อมให้เราบ้าง แต่ทุกอย่างก็ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที “ไกด์”อธิบายว่า ด้วยความที่ถนนในเซนต์ลูเชียค่อนข้างเล็กและซับซ้อน และอาจจะมีถนนตัดใหม่ทับบนถนนตัดเก่า ทำให้ระบบดาวเทีียมจีพีเอสเกิดอาการสับสนบ้าง เห็นชัด ๆ ว่าเป็นเส้นตรง แต่เสียงบอกทางก็ยังบอกว่า ให้เลี้ยวซ้าย เป็นต้น ประเทศนี้แทบไม่มีรถมอเตอร์ไซต์เลย ถ้าจะมีก็จะเป็นมอเตอร์ไซต์แบบบิ๊กไบค์ คนลูเชียนส่วนใหญ่ใช้รถแท๊กซี่ (ซึ่งก็คือรถตู้) ในการเดินทางไปมา อย่างไรก็ตามตอนที่ไปถึงใหม่ ๆ เราออกจะงงงวยกับความถี่ของเสียงแตรในประเทศนี้ ท้ายที่สุดจึงได้เข้าใจว่า ประเทศนี้เป็นประเทศเล็ก คนรู้จักกันหมด เขาบีบแตรเพื่อเป็นการทักทายกันเท่านั้นเอง

ต้นพยัคฆ์หมอกที่พบได้ทั่วไป

ต้นพยัคฆ์หมอกที่พบได้ทั่วไป

การได้กลับมาอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ เส้นศูนย์สูตร ทำให้ฉันเกิดอาการโหยหาบรรยากาศแบบไทย ๆ ดีใจที่ได้เห็นหมาข้างถนน ได้ยินเสียงไก่ขันตอนเช้า ๆ ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเวลา 6 โมงเช้า และตกเวลา 6 โมงครึ่งใกล้ ๆ ทุ่ม (ในขณะที่คลีฟแลนด์ช่วงหน้าหนาว กว่าพระอาทิตย์จะปรากฎกาย ก็ปาเข้าไปเกือบ 7 โมงครึ่ง ห้าโมงเย็นนิด ๆ ก็เริ่มมืดแล้ว)

เดินทางขาไปเรียบร้อยดี มีการพูดคุยเรื่องขอย้ายที่นั่งกับผู้โดยสารที่นั่งใกล้ ๆ บ้าง ขากลับเหนื่อยหน่อย เพราะแถวตรวจเอกสารคนเข้าเมืองยาวเหลือเกิน สุดท้ายเอากระเป๋าไปเช็คอินขุึ้นเครื่องมาคลีฟแลนด์ไม่ทัน ได้นอนไมอามีต่ออีกคืน เพื่อจะกลับมาเจอพายุหิมะลูกโตที่จู่โจมคลีฟแลนด์จนขาวโพลนในบ่ายวันถัดไป ตอนเครื่องจะลง ฉันนั่งสวดบทพระพุทธคุณที่แม่ให้ไว้อยู่หลายรอบ ต้องขอแสดงความชื่นชมกัปตันสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ที่เก่งมาก ๆ สุดท้ายก็กลับถึงบ้านได้โดยสวัสดิภาพ

=====

ที่พัก

Penthouse Apartment Amazing Views
Castries, St. Lucia

อาหารการกิน

Julietta’s
Top of the hill leading down to Marigot Bay, Marigot Bay, St. Lucia
+1 758-458-3224

La Petit Peak
Maurice Mason St., Soufriere, St. Lucia
+1 758-459-7838

ร้านขายของชำ

Massy Stores
สาขาโปรดของเราอยู่ที่ใกล้  Vigie Beach
Vide Bouteille Rd, La Clery, St Lucia
+1 758-457-2080
http://www.massystoresslu.com/

วีซ่า

คนอเมริกาเดินทางเข้าเซนต์ลูเชียได้เลย ไม่ต้องขอวีซ่า แต่คนไทยอย่างฉันต้องใช้วีซา วิธีขอวีซ่าก็ง่ายดายสะดวกรวดเร็ว เพียงแต่ส่งเอกสารทางไปรษณีย์ พร้อมค่าธรรมเนียมไปเท่านั้นเอง มีข้อสงสัยประการใด เขียนอีเมลถึงเจ้าหน้าที่ที่สถานกงสุลได้สบายมาก ตอบกลับรวดเร็วราวกับกามนิตหนุ่ม ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://saintluciaconsulateny.org/visas/

 

ขนมโบราณเมืองสงขลา

[๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๐] ขนมบอก ขนมลูกโดน ขนมพื้นบ้านเมืองสงขลา กินกันมาตั้งแต่ยังเอียด ร้านนี้ขายอยู่ที่สี่แยกถนนนางงามตัดกับถนนพัทลุง

What a pleasant surprise! Found these long-lost childhood snacks during a short trip to Songkhla #ghiottoneria

 

ประสบการณ์ดูละครเวทีที่คลีฟแลนด์

[๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐]  ในคลีฟแลนด์มีโรงละครดี ๆ หลายแห่ง ทั้งเล็ก ทั้งใหญ่ โรงละครที่อยู่ใกล้บ้านหน่อยชื่อ โดบามา ใหญ่ประมาณโรงละครคณะอักษรฯ มีละครดี ๆ ที่ได้รางวัลพูลิเซอร์มาให้ดูตลอดทั้งปี ฉันเคยไปดูมา 2-3 ครั้ง ชอบมาก เพราะขนาดโรงไม่ใหญ่เกินไป นั่งดูแบบใกล้ชิดนักแสดงแบบติดขอบ และราคาค่าตั๋วไม่แพง พอไหว

ปลายปีที่ผ่าน นัยว่าจิตตกจากหลาย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในปลายปี 2016 ส่งผลให้ต้องแสวงหาความบันเทิงมาชะโลมใจ โชคดีว่าเป็นช่วงเทศกาลพอดี เลยมีบัลเลต์เรื่อง The Nutcracker -ของไชคอฟสกี้มาเปิดแสดงที่ Playhouse Square ตั๋วราคาสูงหน่อย แต่คุ้ม ดนตรีบรรเลงโดยวงออเคสตร้าประจำเมืองคลีฟแลนด์ เนื้อเรื่องแฟนตาซี แต่งตัวสวยงาม ช่วงแรกอาจจะน่าเบื่อหน่อย แต่ช่วงหลังพักครึ่งเต้นระบำกันสนุกสุด ๆ

ภายใน State Theatre ตกแต่งสไตล์บารอค

ภายใน State Theatre ตกแต่งสไตล์บารอค

เพลยเฮาส์สแควร์ที่ว่านี่ตั้งอยู่ในดาวน์ทาวน์เมืองคลีฟแลนด์ เป็นโรงละครเก่าแก่ อายุเกือบ 100 ปี สร้างตั้งแต่ปี 1922 (หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) เป็นสถานบันเทิงที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในสหรัฐอเมริกา จะเป็นรองก็แค่ Lincoln Center ในนิวยอร์กเท่านั้นเอง เพลยเฮาส์สแควร์ประกอบด้วยโรงละครย่อย ๆ ถึง 5 โรง คือ โรงละคร Ohio โรงละคร Connor Place โรงละคร State โรงละคร Allen และ โรงละคร Hanna แต่ละโรงมีการตกแต่งหรูหรา สวยสดงดงาม ทั้งแชนเดอเลียร์ ทั้งหินอ่อน และม่านปักลายดอกประดับตามผนังและบนเวที

ตามประวัติแล้ว เพลยเฮาส์สแควร์นี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย เมื่อครั้งที่เปิดใหม่ ๆ ช่วงนั้นคลีฟแลนด์กำลังรุ่งเรื่องเฟื่องฟู เพลยเฮาส์สแควร์ก็เป็นสถานที่ยอดฮิตสำหรับผู้คนที่ม่พักผ่อนหย่อนใจ ดูหนังเงียบ ดูละคร และโวดวิล (Vaudeville = แปลเป็นไทย น่าจะหมายถึงการแสดงแบบปกิณกะ หลาย ๆ แบบมารวมกัน มีทั้งละครสัตว์ รายการตลก การแสดงร้องเพลง) ผ่านไป 40 ปี สังคมเปลี่ยนไป มีการย้ายถิ่นฐานออกจากดาวน์ทาวน์ไปอยู่ตามชานเมืองมากขึ้น ประกอบกับโทรทัศน์เริ่มเข้ามามีบทบาทในฐานะเครื่องมือให้ความบันเทิงในราคาที่ถูกกว่าการซื้อตั๋วดูละคร สุดท้ายโรงละครก็ค่อย ๆ ทยอยปิดตัวลงในปี 1968-1969 หลังจากถูกทิ้งให้เสื่อมโทรมและถูกรุมทึ้งอยู่ 10 ปี กลุ่มประชาชนรากหญ้าในคลีฟแลนด์ก็รวมตัวกัน จับมือช่วยกันระดมทุนปรับปรุงและเปิดโรงละครขึ้นมาใหม่ และเปิดการแสดงมาจนถึงปัจจุบัน

ลวดลายสวยงามบนเพดานของ ก่อนเข้า Allen Theatre

ฉันเคยเข้าไปชมการแสดงในเพลยเฮาส์สแควร์ 3 ครั้ง ครั้งแรกก็คือไปดูบัลเล่ต์เรื่อง The Nutcracker ใน State Theatre ตามที่กล่าวไว้ในตอนต้น อีก 2 ครั้งไปดูละครเวที ใน Allen Theatre เรื่องแรกที่ดูคือเรื่องเชอร์ล๊อก โฮลม์ ตอน สุุนัขล่าเนื้อแห่งบัสเกอร์วิลล์ (เวอร์ชั่นของ Ken Ludwig) ซึ่งสนุกมาก ใช้คนเล่นแค่ 5 คน แต่ผลัดกันเล่นเป็นตัวละครมากมายสะท้อนให้เห็นถึงธีมแห่งการหลอกหลวงและกลอุบายของเรื่อง เป็นละครนักสืบที่ขนาดเรารู้ตอนจบไปก่อนแล้ว ไปนั่งดูก็ยังลุ้นได้ไม่เบื่อ อีกเรื่องหนึ่งที่ไปดูคือ How I Learned To Drive ไปดูพร้อมกับมาร์ธา ฟังแค่ชื่อเรื่องก็คิดว่าคงเป็นละครธรรมดา ไม่น่าจะมีอะไรหวือหวา ปรากฏว่าเอาเข้าจริง ๆ  เป็นละครสะท้อนเนื้อหาสังคมเกี่ยวกับเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์ในครอบครัว ฉันยังจำฉากที่คุณลุงขยำหน้าอกหลานสาวขณะที่สอนขับรถได้อย่างติดตา

ล่าสุดคือสองอาทิตย์ที่แล้ว หมอหวานชวนไปดูโอเปร่าเรื่อง Le Nozze di Figaro ที่โรงละครคลีฟแลนด์เมซอนนิก (Cleveland Masonic Auditorium) ฉันขับรถผ่านโรงละครนี้หลายครั้ง แต่ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไป จนกระทั่งคราวนี้เอง โรงละครนี้ยิ่งเก่ากว่าโรงละครอื่น ๆ เป็นไหน ๆ เพราะสร้างตั้งแต่ปี 1918 ปีสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 1 พอดี มีที่จอดรถให้จอดฟรีสะดวกสบาย ไม่เหมือนเพลย์เฮาส์สแควร์ที่ต้องเสียเงิน(แอบแพง) ข้างในเก่าหน่อย แต่ก็ยิ่งใหญ่อลังการ เหมาะกับระบบเสียงอะคุสติกแบบธรรมชาติยิ่งนัก ยิ่งพอได้ฟังเพลงโหมโรงของโอเปร่าเรื่องนี้ ก็ยิ่งทำให้ขนลุก

แอบสงสารหมอหวานเหมือนกัน เพราะฉันขอออกมาก่อนช่วงพักครึ่ง มีข้ออ้างมากมาย แต่เอาเป็นว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วกัน ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง Amadeus คงจำได้ถึงฉากที่ซาเลียรี่ลิงโลดเมื่อเห็นจักรพรรดิแห่งออสเตรียทรงหาวขณะทอดพระเนตรโอเปร่าเรื่องนี้ของโมซาร์ทได้บ้าง


[เพิ่มเติม: ๗ มิถุนายน ๒๕๖๐] โรงละครเล็ก ๆ อีกโรงหนึ่งในคลีฟแลนด์ไฮท์คือ Ensemble Theatre  ได้ยินชื่อเสียงมานาน และถึงแม้จะอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ก็เพิ่งมีโอกาสได้ไปชมละครเรื่อง The North Pool เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง

สุสาน บ้านไร่ และสวนสัตว์ กับวันสนุก ๆ ใน NOLA (1)

Jackson Square

Jackson Square

[๘-๑๑ เมษายน ๒๕๖๐] สงกรานต์/อีสเตอร์ปีนี้ดวงดี พี่พิมแวะมาเที่ยวอเมริกาเกือบสองอาทิตย์ เลยได้โอกาสชวนกันล่องใต้ไปเยี่ยมเยียนนิวออร์ลีนส์ นิวออร์ลีนส์ หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า NOLA (New Orleans, LA (=Louisiana) เป็นเมืองที่ฉันใฝ่ฝันจะไปหามานานแสนนาน จำได้ว่าพี่โอเคยไปเที่ยวนิวออร์ลีนส์คนเดียวสมัยมาเรียนหนังสือ ส่งโปสการ์ดมาเล่าว่าสนุกมาก

ทัวร์ไปเที่ยวโรงงานทำทาบาสโก้

ทัวร์ไปเที่ยวโรงงานทำทาบาสโก้

สำหรับฉันแล้ว นิวออร์ลีนส์สนุกกว่าเมืองอื่น ๆ ในอเมริกามากมาย เที่ยวนิวออร์ลีนส์เหมือนเที่ยวเมืองนอก ไม่เหมือนอยู่ในอเมริกา (อันนี้ฝรั่งหลายคนเห็นด้วย) นิวออร์ลีนส์มีทุกอย่าง เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่แห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ปีหน้าเค้าจะฉลองครบรอบก่อตั้งครบ 300 ปี (ตั้งแต่ปี 1718 หรือ พ.ศ. 2261 ตรงกับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) มีบ้านสวย ๆ เก๋ ๆ มีดนตรีแจ๊สเก๋า ๆ อย่าง Preservation Jazz Hall Band  มีของกินอร่อย ๆ  เป็นเมืองที่นักเขียนดัง ๆ อย่าง William Faulkner และ Tennessee Williams  เคยมาใช้ชีวิตอยู่ เป็นเมืองแห่งบทละครเรื่อง The Streetcar Named Desire (ที่จนบัดนี้ก็ยังมีการแข่งขันตะโกน Stellaaaaaa ในงานเทศกาลของเทนเนสซี่ วิลเลี่ยมที่จัดเป็นประจำทุกปีในเดือนมีนาคม)

เราเดินทางถึงนิวออร์ลีนส์ในวันเสาร์ที่ 8 เมษายน พี่พิมบินมาจากดีซี ฉันบินไปจากคลีฟแลนด์ ตามกำหนดแล้วควรจะถึงเวลา11 โมงใกล้ ๆ กัน แต่เดลต้าแอร์ไลน์ก็ได้ถือวิสาสะเปลี่ยนแปลงโปรแกรมการท่องเที่ยวของฉันอีกครั้ง – ครั้งที่สามแล้วนะ!!!- เล่นเอากว่าฉันจะไปถึงก็เกือบห้าโมงเย็น

***French Quarter***
เที่ยวกับพี่พิมทีไร โชคดีมาก ๆ ทุกที ครั้งนี้พบว่าช่วงที่เราจะไปเป็นช่วงที่มีงาน French Quarter Festival ประจำปี ครั้งที่ 34 คนจัดประกาศว่าเป็น “Largest Showcase of Louisiana Music in the World” ตอนที่เราจองตั๋วเครื่องบินไปนิวออร์ลีนส์ในเดือนกุมภาพันธ์ เราใช้วันเดินทางของพี่พิม และวันหยุดของฉันเป็นหลัก ไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่าวันที่เราจะไปตรงกับเทศกาลนี้ เพิ่งมารู้ก็ตอนเดือนมีนาคมที่ฉันเริ่มมองหาโรงแรม แล้วพบว่าโรงแรมแพงมาก ๆ อย่างไรก็ดี French Quarter Festival นี่อลังการยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ปิดเมืองตั้งเวทีเล่นดนตรีกัน 23 เวที!!! ข้อสำคัญคือมีร้านอาหารดัง ๆ มาออกร้านกว่า 70 กว่าร้าน ทั้ง Antoine’s Galatoire’s Muriel’s ทำให้เราได้มีโอกาสลิ้มรสอาหารท้องถิ่นของนิวออร์ลีนส์ที่ใคร ๆ ลงความเห็นกันว่าอร่อยที่สุดในอเมริกา (และก็จริงอย่างที่เขาว่ากัน) อาหารที่ขายก็เป็นขนาดเล็ก ๆ ราคาไม่แพงมาก ทำให้เราได้กินของอร่อย ๆ ได้มากมายหลายชนิดในเวลาอันสั้น

วันอาทิตย์ที่เราไปตรงกับวัน Palm Sunday พอดี (พี่พิมถ่ายจาก St. Louis Cathedral)

ขอบันทึกเป็นหลักฐานว่าอาหารที่ได้ลิ้มลองจากงานเทศกาลนี้ประกอบด้วย — ไก่ทอดกับข้าว (พี่พิมบอกว่าอร่อยมาก ๆ) // Deep-fried Oyster Po’ Boy Sandwich (หอยนางรมหวานสุด ๆ) // Duck Po’Boy Sandwich // Gator Kabobs (เนื้อจระเข้เสียบไม้) // Bread Pudding // Snoballs (น้ำแข็งไสบ้านเราดี ๆ นี่เอง ถ้าต้องการหวานมากขึ้นอีก ก็ขอให้คนขายราดนมข้นเพิ่มให้ได้) // Chicken & Waffles // Pulled Chicken Sandwich (หรืออะไรซักอย่าง) // Crawfish crepe กับ Eggplant (อะไรซักอย่าง)

บรรยากาศในงานเต็มไปผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ เข้าใจว่าเป็นช่วง Spring Break ของนักเรียนนักศึกษาในรัฐหลุยเซียนาพอดี ทุกคนเฮฮา เดินไปมาพร้อมกับถือแก้วดริงก์ ดูสุขสันต์สำราญใจเป็นอย่างยิ่ง (ซึ่งเป็นภาพแปลกตาในอเมริกา) เรื่องคนเมากับนิวออร์ลีนส์นี่เป็นโจ๊กที่ใคร ๆ ก็พูดถึงกัน ประหนึ่งว่ามานิวออร์ลีนส์เพื่อจะมาเสพเหล้ายาปลาปิ้งโดยเฉพาะ (รวมไปถึงกลิ่นกัญชาที่ลอยมาตามลมเป็นระยะ ๆ) คนที่พูดเรื่องนี้มีตั้งแต่คนรถจากสนามบิน ไปจนถึงไบรอันคนรถที่ขับพาไปเที่ยวไร่อ้อย ที่บอกว่าให้ติดสติกเกอร์ประจำคณะไว้ให้ดี เผื่อว่าไปดื่มดริงก์ที่ทางไร่อ้อยมีขายจนเมาหมดสติ พนักงานไร่อ้อยจะได้พากลับมาส่งได้ถูก

นิวออร์ลีนส์ก็เหมือนกับเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ๆ ทั่วไป ที่การต่อคิวสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าง Preservation Jazz Hall ที่ดังมาก ๆ คนจะไปรอเข้าคิวกันแต่หัววัน ร้านอาหารไหนที่ว่าดัง ก็จะมีคนไปรอเข้าคิวกันยาวเฟื้อย

ขอแสดงความชื่นชมคณะจัดงานว่าเก็บขยะได้เก่งมาก ช่วงกลางคืนขยะเต็มงานไปหมด ทั้งภาชนะใส่อาหาร แก้วน้ำ ขวดน้ำ เช้ามากวาดเกลี้ยงเกลา แต่เวลาเดิน ๆ ต้องระวังอยู่เหมือนกัน ดีไม่ดีอาจจะไปเหยียบอ้วกคนเมาได้ง่าย ๆ

***สุสาน St Louis No. 1***
ฉันเองก็เพิ่งมาสังเกตคราวนี้เองว่าคนอเมริกันหลายคนมีรสนิยมชอบไปเที่ยวสุสาน แถวบ้านฉันที่คลีฟแลนด์ มีสุสานชื่อ Lakeview Cemetery มีที่เก็บศพของประธานาธิบดีการ์ฟิลด์ อยู่มาหลายปีก็ไม่เคยคิดจะไปเยี่ยมชมเลย ส่วนของนิวออร์ลีนส์นี่ อ่านข้อมูลท่องเที่ยวฉบับไหน ก็มีแต่คนบอกว่าห้ามพลาดทั้งนั้น

สุสานยุคดั้งเดิมสีสันสวยงาม เพราะทาสีแบบเดียวกับสีบ้านของเจ้าของสุสาน เพื่อให้พนักงาน (ซึ่งอ่านป้ายไม่ออก) รู้ว่าสุสานใดเป็นของตระกูลไหน

สุสานในนิวออร์ลีนส์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมมีหลายแห่ง เราเลือกไป St Louis No. 1 ตามคำแนะนำของคุณเรน Concierge ของโรงแรมที่พักอยู่ นัยว่าสุสานนี้ดังมาก เพราะเป็นสุสานที่ยัง active (คือยังมีการเปิดให้เก็บศพอยู่) ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา นอกยังนี้ยังมีหลุมเก็บศพของผู้ก่อตั้งเมืองนิวออร์ลีนส์รุ่นบุกเบิก มีหลุมเก็บศพของสมาชิกสมาคมชาวอิตาเลียนที่ใช้หินอ่อนจาก Carrara และที่พลาดไม่ได้คือหลุมของคุณนาย Marie Laveau เจ้าแม่วูดูที่มีชี่อเสียงโด่งดังก้องโลก ฟังประวัติแล้วแอบภูมิใจว่าเป็นผู้หญิงเก่งในสมัยนั้น คุณนายลาโวนี่ดังจริง ๆ ตรงหน้าหลุมมีคนนำยาสูบ หนังยางรัดผมและกิ๊บมาวางเป็นการแสดงความไว้อาลัยเต็มไปหมด อลีน่า ไกด์สาวผู้พาเราเข้าชมสุสานเล่าว่า ที่คนเอาอุปกรณ์เสริมสวยมาวาง เพราะอาชีพดั้งเดิมของคุณลาโวคือช่างทำผม ส่วนยาสูบหรือบุหรี่ เข้าใจว่าเป็นเพราะเป็นธุรกิจของครอบครัว (ถ้าจำไม่ผิด)

โปรดสังเกตว่าฉันใช้คำว่าหลุม “เก็บ” ศพ ไม่ใช่ หลุม “ฝัง”ศพ เหตุผลที่ดึงดูดใคร ๆ ให้มาชมสุสานที่นิวออร์ลีนส์ เพราะเค้าใช้วิธีเก็บศพไม่ได้ฝังลงดินลึกลงไป 6 ฟุตแบบทั่ว ๆ ไป อลีน่าเล่าว่า เพราะสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของนิวออร์ลีนส์ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ทำให้ฝังศพไม่ได้ ไม่งั้นน้ำจะพัดศพขึ้นมาลอยอืด ไม่น่าดูไม่น่าชมเป็นอย่างยิ่ง จนชาวนิวออร์ลีนส์ต้องทำเรื่องไปขออนุญาตพระสันตปาปาว่าขอเก็บศพบนดินแทนที่จะฝังได้หรือไม่ ทางวาติกันพิจารณาแล้ว ก็อนุญาตให้เป็นกรณีพิเศษ (เพราะแม้แต้พระเยซุเอง ศพของท่านก็ถูกเก็บไว้ในถ้ำ ไมได้รับการฝังลงดิน) ฉันฟังแล้วก็เออออตามไกด์ไป แต่ในใจก็แอบคิดว่าสุสานของตระกูลพี่เอ็นโซที่กันยาโนก็เก็บศพไว้ในอาคารบนดินเหมือนกันนี่นะ

ได้เรียนรู้ประวัติความเป็นมาของนิวออร์ลีนส์จากอลีน่าด้วยว่า กลุ่มคนกลุ่มแรก ๆ ที่มาสร้างเมือง คือนักโทษจากคุกในฝรั่งเศส (ทำนองเดียวกับที่นักโทษอังกฤษเป็นคนสร้างออสเตรเลีย)

ขากลับออกจากสุสาน อลีน่าแนะนำให้ทุกคนถอยหลังออกมา บอกว่าเป็นเคล็ด (เหมือนคนไทยเลยแฮะ)

*** สวนสัตว์ Audobon*** 
เหตุผลดั้งเดิมที่มานิวออร์ลีนส์ เพราะคิดว่าจะไปแวะเยี่ยมอ๋อและครอบครัวที่ฟลอริด้า อยากไปอุดหนุนร้านอาหารไทยของอ๋อที่ชื่อ Thailand’s Best ดูแผนที่ไปดูแผนที่มา เมืองที่อ๋ออยู่ (Navarre) ไม่ห่างจากนิวออร์ลีนส์เท่าไหร่แฮะ (ขับรถข้ามสี่รัฐ คือฟลอริด้า อัลบามา มิสซิสซิปปี้ และ หลุยส์เซียนาใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง) สุดท้ายจากที่กลายเป็นว่าจะไปหาอ๋อ อ๋อและครอบครัว อันประกอบด้วย คริส แอสตัน แอนนาเบล เลยต้องขับรถมาเราที่นิวออร์ลีนส์แทน กินข้าวกลางวันที่ร้าน NOLA เสร็จแล้ว เรากับเด็ก ๆ ก็มุ่งหน้าสู่ส่วนสัตว์ Audobon กัน เด็ก ๆ ตื่นเต้นมาก ได้เห็นช้าง ลิง ยีราฟ เสือ จระเข้ นกสวย ๆ ในระยะประชิด ฉันเองก็ตื่นเต้น เพราะระหว่างทางไปสวนสัตว์ ได้นั่งรถผ่านถนน Carrollton ซึ่งมีบ้านสไตส์เก๋ ๆ แบบนิวออร์ลีนส์สวยงามมากมาย

***Oak Alley Plantation***
ฉันชอบไปเที่ยวบ้านสวย ๆ อย่างแมนชั่นที่เมืองนิวพอร์ท โรดไอส์แลนด์นี่ชอบมาก ๆ พอเห็นรูป Plantation หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คงเข้าข่าย บ้านไร่บ้านสวน(อ้อย) ในนิวออร์ลีนส์แล้วก็ใฝ่ฝันว่าจะไปเยี่ยมชมให้ได้

บ้านไร่(อ้อย)ในนิวออร์ลีนส์มีหลายแห่ง ตั้งอยู่บนถนนเก่าแก่เลียบแม่น้ำมิสซิสซิปปีชื่อ River Road เลือกมา Oak Alley Plantation เพราะดูแล้วว่าสวยสง่า ถ่ายรูปขึ้นที่สุด โดยเฉพาะเวลาที่มองเข้าไปแล้วเห็นต้นโอ๊คอายุนับร้อย ๆ ปี เรียงแถวเป็นแนวเป็นทางไปจนถึงตัวบ้าน ไม่มีใครรู้ว่าต้น Virginia Live Oak เหล่านี้ ปลูกเมื่อไร ใครเป็นคนปลูก ไกด์เล่าว่าสมัยก่อนเมื่อมองจากตัวบ้านออกไปทางถนน จะเห็นแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ แต่ปัจจุบันน้ำท่วมทำให้ต้องสร้างทำนบขึ้นมากั้นมา บดบังวิวไปอย่างน่าเสียดาย — ที่โอ๊คแอลลี่ย์นี้ เราได้เดินสวนกับคนไทยด้วย ทักทายกันจนได้รู้ว่าคุณเค้ามาจากบุรีรัมย์

เหนือโต๊ะกินข้าว คือพัดลมขนาดใหญ่ ใช้แรงงานทาสเด็ก ๆ ให้เป็นคนดึงเชือก บนโต๊ะมีโถแก้ว เอาไว้ดักจับแมลงที่บินเข้ามารบกวน

อย่างไรก็ตามหากใครสนใจประวัติศาสตร์การใช้แรงงานทาส ขอแนะนำให้ไป Whitney Plantation  ฉันเห็นว่า Oak Alley จะเน้นความหรูหรามั่งคั่งของฝ่ายเจ้าของไร่ (เช่น การใช้สับปะรดไล่แขกที่มาพักที่บ้านนานเกินไป) ในขณะที่ Whitney จะแสดงให้เห็นถึงชีวิตที่ถูกกดขี่ข่มเหงของทาสผิวสี ที่จริงแล้ว Oak Alley ก็มีส่วนที่จัดแสดงนิทรรศการแสดงความเป็นอยู่ของทาสเหมือนกัน แต่ก็อะนะ…  (ไกด์เล่าว่าสมัยก่อนเจ้าของบ้านปลูกต้นโอ๊คไว้ด้านหลังบ้านด้วย เพื่อจะให้ปกปิดสายตาจากส่วนที่อยู่ของทาส)

ที่นิวออร์ลีนส์นี้ อะไร ๆ ก็ Whitney มีธนาคารชื่อวิทนีย์ มีโรงแรมชื่อวิทนีย์ ไร่ก็ชื่อวิทนีย์อีก ตระกูลวิทนีย์นี่มาจากนิวยอร์ก เข้ามาทำธุรกิจในนิวออร์ลีนส์ช่วงยุคสงครามกลางเมือง Whitney Bank นี่ เค้าบอกว่าบริหารจัดการกันเก่งมาก เพราะเป็นธนาคารเดียวที่อยู่รอดผ่าน The Great Depression ในช่วงปี 1930’s มาได้

จากตัวเมืองนิวออร์ลีนส์ เดินทางมายังแพลนเทชั่นใช้เวลาประมาณ 50 นาที ระหว่างทางเราต้องผ่าน Lake Pontchatrain คนขับรถชื่อไบรอัน เล่าว่าเป็นทะเลสาบที่น้ำตื้นมาก ๆ (เฉลี่ยความลึกประมาณ 4 เมตรเท่านั้นเอง) อย่างไรก็ดี ตอนหลังฉันมาหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตพบว่า จริง ๆ ตรงนี้ไม่ใช่ Lake หรือทะเลสาบ ตามชื่อ แต่เป็น Estuary หรือ ชะวากทะเล (ปากน้ำ) เป็นเครื่องอธิบายได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมพื้นที่ตรงนี้จึงได้อุดมสมบูรณ์เพียงนี้

ผู้ใดสนใจจะไปเยี่ยมเยือนนิวออร์ลีนส์  ควรศึกษาเว็บไซต์การท่องเที่ยวของ New Orleans: http://www.neworleansonline.com/ที่ทำไว้ดีมาก ถ้าให้ดีควรเข้าไปดาวน์โหลดไกด์บุ๊คมาศึกษาก่อนเดินทาง มีคูปองลดราคาสินค้าและอาหารเพียบ